การจั้มสตาร์ทและการชาร์จแบต แตกต่างกันอย่างไร ?

การจั้มสตาร์ทและการชาร์จแบต แตกต่างกันอย่างไร ?

06 ต.ค. 2565   ผู้เข้าชม 857

รถสตาร์ทไม่ติดเพราะแบตเตอรี่หมด อาจไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นได้บ่อยนัก แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทุกครั้งที่ปัญหานี้เกิดขึ้น มักสร้างความวุ่นวายอยู่พอสมควรเลยทีเดียว โดยแนวทางแก้ปัญหายอดนิยมก็จะมีอยู่ 2 อย่างด้วยกัน ได้แก่

  • การจั๊มพ์สตาร์ท (Jump Start)
  • การชาร์จแบตรถยนต์ด้วยเครื่องชาร์จ (Car Battery Charger)

แล้วทั้ง 2 วิธีการนี้ แตกต่างกันอย่างไร? เราควรใช้วิธีใดในการแก้ปัญหาแบตเตอรี่หมด Ruamchok Battery มีคำตอบให้กับทุกคำถามเกี่ยวกับการชาร์จแบตเตอรี่ อยู่ในบทความนี้ครับ

การจั๊มพ์สตาร์ท (Jump Start)

เหมาะสำหรับใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น รถสตาร์ทไม่ติดระหว่างเดินทาง  เนื่องจากมีแบตเตอรี่ไม่เพียงพอ ที่จะสามารถทำให้ไดสตาร์ทติดเครื่องยนต์ได้ โดยสาเหตุมักเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น เปิดไฟหน้ารถทิ้งไว้ ระหว่างจอดทำธุระ หรือในรถบางยี่ห้ออาจมีวิธีการดับเครื่องแบบ 2 ขั้นตอน และหากคุณลืมขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งไป ก็จะทำให้ระบบไฟฟ้าของรถไม่หยุดทำงาน จึงเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่หมดได้ เป็นต้น

ข้อดีของการจัมพ์สตาร์ท (Jump Start)

  • ใช้เวลาไม่นานมาก และสามารถใช้รถได้ทันที
  • ค่าบริการไม่แพง

ข้อจำกัดของการจัมพ์สตาร์ท (Jump Start)

  • หลังจากจั๊มสตาร์ทแล้ว รถยนต์ของคุณจะต้องมีงานการใช้ต่ออีกเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้ไดชาร์จได้ทำการชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่ขณะขับขี่
  • หากในวันถัดไปรถยนต์ของคุณไม่ถูกใช้งาน มีโอกาสสูงที่รถยนต์ของคุณจะสตาร์ทไม่ติดอีก เนื่องจากมีพลังงานไม่เพียงพอ สำหรับการสตาร์ทรถครั้งถัดไป
  • ข้อจำกัดทางด้านสภาพแวดล้อม หากคุณโชคร้ายรถดับอยู่ในบริเวณที่ไม่ค่อยมีรถคันอื่นสัญจร คุณจะไม่สามารถชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ของคุณได้เลย

ความกังวลเกี่ยวกับข้อจำกัดต่างๆ จะหมดไป เพราะ Ruamchok Battery มีบริการชาร์จแบตเตอรี่นอกสถานที่ ตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยให้คุณอุ่นใจ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราก็พร้อมดูแลคุณ

การชาร์จแบตรถยนต์ด้วยเครื่องชาร์จ (Car Battery Charger)

ข้อดีของการชาร์จแบตรถยนต์ด้วยเครื่องชาร์จ (Car Battery Charger)

  • ชาร์จไฟได้เต็มประจุกว่าการจัมพ์สตาร์ท (Jump Start)
  • ช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้ยาวนานมากกว่า 10 ปี (ขึ้นอยู่กับสภาพแบตเตอรี่ และการดูแลรักษาของแต่ละบุคคล) 
  • ป้องกันรถสตาร์ทไม่ติด 
  • ป้องกันแบตเตอรี่เสื่อม
  • ไม่ทำให้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ภายในรถเสีย

ข้อจำกัดของการชาร์จแบตรถยนต์ด้วยเครื่องชาร์จ (Car Battery Charger)

  • มีขั้นตอนการชาร์จที่มากกว่าการจัมพ์สตาร์ท (Jump Start)
  • ใช้เวลา 1-3 วัน ในการชาร์จ ขึ้นอยู่กับปัจัยต่างๆ เช่น อายุแบตเตอรี่และประสิทธิภาพของแบตเตอรี่นั้นๆ

จะเห็นได้ว่าการชาร์จแบตเตอรี่ในแต่ละแบบ มีข้อดีและข้อจำกัดต่างกันออกไป ดังนั้น Ruamchok Battery จะขอแนะนำให้เลือกแต่ละวิธีตามสถานการณ์จะดีที่สุด โดยการจัมพ์สตาร์ท (Jump Start) จะเหมาะในกรณีที่คุณมีเวลาค่อนข้างจำกัด และต้องการความรวดเร็ว ส่วนการชาร์จแบตเตอรี่ด้วยเครื่องชาร์จ (Battery Charger) แม้จะใช้เวลาที่นานกว่า แต่ก็มีข้อได้เปรียบในส่วนของอายุการใช้งานที่นานขึ้น หากคุณไม่ได้รีบใช้รถ เราขอแนะนำให้ใช้วิธีนี้มากกว่า

อย่างไรก็ตามแบตเตอรี่รถยนต์นั้น ควรมีการตรวจสอบอยู่เป็นระยะ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น หากคุณต้องการความช่วยเหลือ เรามีทีมงานพร้อมให้บริการชาร์จแบตเตอรี่ ตลอด 24 ชั่วโมง

สุดท้ายนี้ Ruamchok Battery หวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความของเรา จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกวิธีการชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ได้ดีมากยิ่งขึ้น เรายังมีสาระความรู้เกี่ยวกับแบตเตอรี่รถยนต์อีกมากมาย สามารถอ่านต่อได้ในบทความของเรา


สาระน่ารู้ที่เกี่ยวข้อง